เบสบอล คือหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา อันเป็นต้นกำเนิดของเกมการแข่งขันรูปแบบนี้ จนทำให้ช่วงเวลาหนึ่งเบสบอลถือเป็นกีฬาประจำชาติของชาวอเมริกันเลยทีเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมของเบสบอลกลับลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เสียตำแหน่งกีฬาเบอร์ 1 ในอเมริกาเท่านั้น แต่กระแสในปัจจุบันยังตกต่ำลงมาใกล้เคียงกับ ฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ ของชาวสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นักในหมู่อเมริกันชน
จากกีฬาของคนทั้งชาติ เบสบอล เจอวิกฤตความนิยมตกต่ำอย่างหนักในสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร?
กีฬาของชาวอเมริกัน
หากจะหาเหตุผลที่ทำให้เบสบอลเคยเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมหาศาลในยุคอดีต ทุกอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเบสบอลถือเป็นเกมกีฬาแรกๆที่ถือกำเนิดขึ้นในสังคมอเมริกันยุคใหม่มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 และเริ่มมีการแข่งขันในฐานะกีฬาที่มีกฎกติกาอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 1845 ซึ่งเกิดก่อนกีฬาชื่อดังที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ทั้ง ฟุตบอล, บาสเกตบอล, อเมริกันฟุตบอล และอีกหลากหลายกีฬา
เริ่มก่อนก็มีโอกาสสร้างความนิยมได้ก่อน ในยุคที่กีฬาอื่นยังไม่ได้สร้างการแข่งขันให้เป็นรูปเป็นร่าง เบสบอลมีกฎกติกาที่ชัดเจน ทำให้ผู้เล่นเข้าใจได้เร็ว เมื่อกฎไม่มีปัญหา ความสนุกจึงเริ่มต้นขึ้น ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เบสบอลก็กลายเป็นกีฬาซึ่งเป็นที่รู้จักในหลายพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา
เมื่อเกิดการตั้งลีกอาชีพในปี 1871 อย่าง (หรือในปัจจุบัน) ยิ่งทำให้ความนิยมของเบสบอลเพิ่งขึ้นเป็นหลายเท่าตัว จนกลายเป็นกีฬาแรกที่มีการเริ่มต้นระบบสร้างนักกีฬาผ่านมหาวิทยาลัย เพื่อปูทางสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพที่เกิดขึ้นเป็นปกติในสังคมอเมริกันปัจจุบัน
ด้วยความที่แจ้งเกิดก่อนใครเพื่อน เบสบอล จึงถูกเรียกว่า “กีฬาประจำชาติ” ของชาวอเมริกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และแม้จะเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 20 ความนิยมของเบสบอลก็ไม่ได้ตกลงและมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการขยายฐานแฟนของกีฬานี้ไปยังรัฐต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งมาพร้อมกับการเกิดของทีมเบสบอลมากมาย รวมถึงการเกิดลีกอาชีพในหลายระดับ
นอกจากนี้ ชาวสหรัฐฯ ได้พาเบสบอลไปขยายอิทธิพลในหลายประเทศที่พวกเขามีอำนาจอยู่ ซึ่งหลักๆคือ ญี่ปุ่น และ เกาหลี (ที่ยุคนั้นยังไม่แยกประเทศ) จนทำให้เบสบอลกลายเป็นกีฬายอดนิยมของชาติแทนที่จะเป็นฟุตบอลเหมือนกับประเทศอื่นๆ เพราะอิทธิพลของอเมริกาที่โปรโมตเบสบอลให้กับชาติเหล่านี้ ด้วยความภูมิใจในฐานะกีฬาอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 คือยุคทองสุดๆของกีฬาเบสบอล ในยุคที่กีฬาไม่ได้เป็นธุรกิจเต็มตัวแบบในปัจจุบัน แต่เบสบอลในเวลานั้นก็สามารถเปลี่ยนกีฬาเป็นธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์ มีเม็ดเงินมหาศาลไหลเวียนเข้ามา หลายคนได้กำไรมากมายจากการทำทีมเบสบอล รวมถึงนักกีฬาที่ได้ขึ้นเงินเดือนกันเป็นว่าเล่นตามความนิยมของลีกที่เพิ่มขึ้นจนเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
แต่อะไรที่เติบโตเร็วเกินไปไม่เคยเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในวงการกีฬา หากไม่สามารถรับมือและปรับตัวกับการเติบโตที่รวดเร็วได้ทัน กราฟที่วิ่งพุ่งสูงขึ้นเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดก็สามารถเปลี่ยนหัวปักลงพื้นได้แบบไม่รู้ตัว
ปัญหาว่าด้วยค่าจ้าง
เงิน สามารถเป็นปัญหาที่ไม่รู้จบของใครหลายคนได้เสมอ โดยเฉพาะในสังคมที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาลอยู่ข้างหน้า เบสบอลก็เช่นกัน ในยุค 1910s กับยุคสมัยที่ คือลีกกีฬาอาชีพที่โด่งดังเพียงหนึ่งเดียว เงินจำนวนมากพุ่งเข้าหาลีก ทำให้มีแต่คนอยากจะโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าเหล่าเจ้าของทีมก็อยากจะได้กำไรมากที่สุดจากการทำทีมเบสบอล แต่ไม่ใช่พวกเขาแค่กลุ่มเดียวที่อยากได้เงินก้อนโต เพราะกลุ่มผู้เล่นก็เป็นส่วนสำคัญที่เชื่อว่า พวกเขาควรได้รับรายได้มหาศาล ในเมื่อพวกเขาเป็นตัวจริงเสียงจริงที่ทำให้เกมกีฬานี้โด่งดังไปทั่วประเทศ
แม้ว่านักกีฬาเบสบอลใน MLB จะได้เพิ่มค่าเหนื่อยขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่เคยพอในระดับที่ผู้เล่นต้องการ เพราะพวกเขารู้ดีว่า มีเงินมหาศาลที่เข้าสู่ธุรกิจนี้ และพวกเขาก็ควรได้ส่วนแบ่งก้อนโตในเปอร์เซ็นต์ที่ชัดเจนและเหมาะสม
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ การประท้วงเรื่องค่าจ้างระหว่างผู้เล่นกับต้นสังกัดที่เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด การสไตรค์ของผู้เล่นที่ไม่ยอมลงสนามเกิดขึ้นจนแทบเป็นเรื่องปกติ ซึ่งกลายเป็นสัญญาณแรกที่แสดงถึงความไม่มั่นคงของกีฬาเบสบอลในสหรัฐอเมริกา
แต่ถึงแม้ว่าเรื่องวงในของเบสบอลจะเต็มไปด้วยปัญหา เบสบอลก็ยังเดินหน้าได้แบบดูเหมือนไม่มีอะไรติดขัด เพราะเบสบอลยังคงได้ใจชาวสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคนในยุคนั้นทุกคนโตมาพร้อมกับกีฬาเพียงกีฬาเดียวนั่นคือเบสบอล และถึงจะมีปัญหาบ้าง แต่ทุกคนก็อยากตีตั๋วเข้าสนามไปชมเกมเบสบอลอยู่ดี หรืออย่างน้อยๆก็ต้องได้เปิดวิทยุฟังรายงานการแข่งขันแบบสดๆ
ยิ่งเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ของโลก อย่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 เบสบอลยิ่งแสดงตัวตนของการเป็นกีฬาแห่งสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทางรัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ MLB ดำเนินการแข่งขันต่อไปและห้ามหยุดลีกเด็ดขาด แม้ว่านักกีฬาตัวเก่งหลายคนจะต้องไปรบรับใช้ชาติก็ตาม เพราะรัฐบาลต้องการให้เบสบอลเป็นกิจกรรมที่มอบความสุขให้กับคนในชาติในยามที่ทุกอย่างมืดมนเช่นนั้น
นั่นคือช่วงเวลาที่หวานชื่นของเบสบอล แต่ปัญหาที่อยู่หลังฉากไม่เคยหายไปไหน ด้วยความที่เบสบอลกลายเป็นธุรกิจเร็วเกินไป ปัญหาหลายๆอย่างจึงไม่ได้มีการจัดการอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะปัญหาการแบ่งรายได้ระหว่างผู้เล่นและทีมเบสบอล
ไม่นับรวมกับเสียงบ่นจากแฟนรุ่นใหม่ที่มองว่า เบสบอลคือกีฬาแห่งธุรกิจที่สนใจแต่การหารายได้มากกว่าการสร้างเกมการแข่งขันที่มีคุณภาพ สำหรับคนรุ่นหลังที่เกิดหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เบสบอลไม่ได้เป็นกีฬาสุดโรแมนติกเหมือนมุมมองของคนรุ่นพ่อแม่อีกแล้ว แต่เป็นกีฬาที่ออกไปทางน่าเบื่อที่มีแต่ข่าววุ่นวายเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่มีวันจบ
บวกกับยุคสมัยที่ผ่านไป เบสบอลไม่ได้เป็นกีฬาอาชีพที่โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวอีกแล้ว เพราะ อเมริกันฟุตบอล ได้สร้างตัวขึ้นมาจนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เป็นเกมกีฬาที่ดุดัน เร้าใจ เหมาะกับคนวัยหนุ่ม แถมยังมี บาสเกตบอล ที่สร้างชื่อขึ้นมาได้ดีในฐานะกีฬานอกกระแสอีกด้วย
สิ่งทำให้ MLB ดูมีภาพลักษณ์ที่แย่ถึงขีดสุดคือ การสไตรค์ของลีกในปี 1972 หรือการสไตรค์อย่างเป็นทางการของผู้เล่นของลีกเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นเป็นการประกาศว่าพวกเขาจะไม่ยอมกลับมาเล่นให้ MLB อีกเป็นอันขาด ยกเว้นว่าพวกเขาจะได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากการล็อกเอาต์ในครั้งนั้นที่เกิดขึ้นเพียงแค่ 13 วัน ทำให้เกมการแข่งขันถึง 86 เกมในฤดูกาล 1972 ถูกยกเลิก แถมในปีนั้น แต่ละทีมยังมีการแข่งขันไม่เท่ากันอีกด้วย เพราะไม่สามารถจัดตารางการแข่งขันให้ลงตัวได้
หากคิดว่านั่นคือภาพลักษณ์ที่แย่แล้วของลีกกีฬาอาชีพ สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1973 กลับแย่ยิ่งกว่า เพราะมันคือการล็อกเอาต์ครั้งแรกของลีก ซึ่งการล็อกเอาต์ในที่นี้หมายถึง การรวมตัวของผู้เล่นที่ประกาศจะไม่ยอมกลับมาแข่งขันในฤดูกาลนี้เป็นอันขาด ยกเว้นว่าจะได้รับค่าจ้างตามที่พวกเขาต้องการ
ผู้เล่นไม่ยอมกลับมาฝึกซ้อมร่วมกับทีมเป็นเวลาหลายเดือน โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ระหว่างสมาคมผู้เล่น กับแฟรนไชส์ใน MLB ด้วยข้อกำหนดเรื่องค่าเหนื่อยเป็นระยะเวลา 3 ปี แต่เมื่อสัญญาฉบับนี้จบลง ในปี 1976 ก็เกิดการล็อกเอาต์อีกครั้ง ซึ่งเป็นปัญหาอันไม่มีที่สิ้นสุด
ปัญหานี้ทำให้กีฬาเบสบอลกลายเป็นกีฬาที่น่ารำคาญสำหรับแฟนกีฬา มีแต่เรื่องดราม่าไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่แฟนๆจะได้ตื่นเต้นกับการแข่งขันในฤดูกาลใหม่ก็ต้องมานั่งลุ้นกันตัวโก่งว่าฤดูกาลนี้จะได้แข่งขันหรือไม่ เพราะในปี 1994 ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าผู้เล่นกับฝ่ายทีมตกลงผลประโยชน์ได้ไม่ลงตัวก็เกิดการยกเลิกการแข่งขันและไม่กลับมาแข่งเลยแม้แต่เกมเดียวได้เหมือนกัน
นี่คือเรื่องน่าเบื่อของแฟนยุคหลังๆ และพวกเขาไม่ได้มีทางเลือกแค่เบสบอลเหมือนในอดีต เพราะทั้ง NFL และ NBA ก็เป็นลีกกีฬาที่สนุกไม่แพ้กัน
แม้กระทั่งในปี 2022 เบสบอลยังคงเป็นกีฬาที่ลีกใหญ่ยังคงมีการล็อกเอาต์เกิดขึ้น เนื่องจากไม่สามารถหาผลประโยชน์ที่ลงตัวได้ระหว่างทีมกับผู้เล่น จนลีกต้องยุติการทำงานเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในลีกอื่นๆของสหรัฐอเมริกามานานหลายปีแล้ว
เบสบอลจึงกลายเป็นกีฬาที่เหมือนย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาปรับตัวหรือเดินหน้าไปไหน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากแฟนรุ่นใหม่จะเบื่อดราม่าและหันไปดูกีฬาอื่นที่สามารถสนุกไปกับเกมการแข่งขันได้อย่างเต็มที่
เวลายิ่งเดิน ความนิยมยิ่งตก
ไม่ใช่แค่ปัญหาวุ่นๆของเบสบอลเพียงอย่างเดียวที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สนใจกีฬานี้ แต่ด้วยลักษณะของเกมการแข่งขันก็ทำให้คนรุ่นใหม่มองว่าเบสบอลเป็นกีฬาที่น่าเบื่อเกินไป
ด้วยการแข่งขันที่ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แถมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะมีการทำแต้มกันตอนไหน (ซึ่งสามารถเป็น 3 ชั่วโมงที่ไม่มีการทำคะแนนแม้แต่แต้มเดียวก็ได้) ทำให้คนสมัยใหม่ที่ชื่นชอบอะไรที่รวดเร็ว สั้น และกระชับมากขึ้น ตามการเสพคอนเทนต์ของโลกยุคอินเทอร์เน็ต ก็ทำให้เบสบอลกลายเป็นกีฬาที่ช้าและน่าเบื่อสำหรับใครหลายคน ต่างจากคนยุคก่อนที่มองเบสบอลเป็นกีฬาดูเพลินๆ สบายๆ ที่ใช้เวลานั่งดูการแข่งขันแบบชิลๆ เหมือนเช่นในอดีต
ไม่เพียงเท่านั้น เกมเบสบอลในยุคหลังก็พัฒนารูปแบบเกมรับได้ดีขึ้นอย่างน่าใจหาย การทำแต้มเกิดขึ้นได้ยากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก
อธิบายให้เห็นภาพคือ นักเบสบอลในยุคปัจจุบันมีโอกาสที่จะลงสนามและไม่สามารถตีลูกเพื่อวิ่งเข้าเบสหรือช่วยให้เพื่อนวิ่งเข้าเบส ซึ่งเป็นวิธีของการทำแต้มในกีฬาเบสบอลมากกว่าโอกาสตีลูกและวิ่งเข้าเบสถึง 2 เท่า หรือสรุปให้เข้าใจง่ายๆคือ นักเบสบอลมีโอกาสเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่จะลงไปเล่นในสนามแล้วสร้างประโยชน์ให้กับเกมบุกของทีม
นอกจากนี้ โอกาสในการโดนสไตรค์เอาต์ หรือการเอาผู้เล่นออกจากสนามโดยที่ไม่ได้วิ่งเข้าเบสกลับเพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่โอกาสที่ผู้เล่นจะตีลูกและวิ่งเข้าเบสสำเร็จกลับมีตัวเลขทางสถิติแน่นิ่งมาเกือบ 20 ปี
นั่นหมายความว่า ยิ่งเวลาผ่านไป เกมเบสบอลก็ยิ่งพัฒนาเกมรับ ในขณะที่เกมรุกตามไม่ทัน โอกาสที่จะทำแต้มกันก็น้อยลงเรื่อยๆ ถึงมันจะกลายเป็นเสน่ห์ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แฟนกีฬาจำนวนไม่น้อยอยากดูเกมที่ทำแต้มเยอะๆ สนุกตื่นเต้นเร้าใจ มากกว่ากีฬาที่ต้องเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มาสักแต้ม
ด้วยเหตุนี้จึงมีการเปิดเผยว่า คนรุ่นใหม่ในสหรัฐอเมริกาหันไปนิยมกีฬาที่ทำแต้มกันได้เยอะๆ เช่น อเมริกันฟุตบอล หรือ บาสเกตบอล ขณะที่ ฟุตบอล ถึงจะไม่ได้ทำแต้มเยอะ แต่รูปเกมในสนามก็รวดเร็วว่องไวแตกต่างจากเบสบอลที่เชื่องช้าเป็นอย่างมากกว่าจะตีลูกได้สักครั้ง
นอกจากนี้ MLB ยังแข่งกันในฤดูกาลหนึ่งมากถึง 162 เกม ถือว่าเยอะมากๆสำหรับลีกกีฬาอาชีพ และด้วยโปรแกรมที่เยอะมหาศาลขนาดนี้ ทำให้หลายคนไม่สามารถติดตามการแข่งขันได้อย่างจริงจัง เพราะคงมีไม่กี่คนที่จะว่างพอดูเบสบอล 162 เกมไม่รวมรอบเพลย์ออฟต่อฤดูกาล และเมื่อไม่สามารถติดตามเกาะติดทุกเกมได้แบบแฟนพันธ์ุแท้ ก็ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่ดูเบสบอล เพราะรู้สึกว่าติดตามการแข่งขันได้ยากเกินไป
เบสบอลจึงกลายเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่เลย หรือจะเรียกว่าตกยุคแบบกลายๆก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่ากีฬาชนิดนี้แย่หรือไม่สนุก แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเบสบอลกลายเป็นกีฬาที่ไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่แม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อเอาชนะใจคนหนุ่มสาวไม่ได้ โอกาสเติบโตในระยะยาวของกีฬาชนิดนี้ก็น้อยลงไปด้วย
ด้วยผลสำรวจล่าสุดในปี 2021 มีคนรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 30 ปีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในสหรัฐอเมริกาที่เลือกเบสบอลเป็นกีฬาในดวงใจ ขณะที่อเมริกันฟุตบอลได้รับความนิยมสูงถึง 24 เปอร์เซ็นต์ และบาสเกตบอลอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์
แต่ที่น่าหวั่นใจที่สุดสำหรับวงการเบสบอล คือมีแฟนกีฬาคนหนุ่มสาวเลือก ฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ของชาวอเมริกัน เป็นกีฬาในดวงใจถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เกือบจะแซงหน้าเบสบอลได้แล้ว ทั้งที่ย้อนไปสัก 10-20 ปีก่อนหน้านี้ ความนิยมของทั้งสองกีฬานี้ต่างกันมาก
จากการคาดการณ์ มีโอกาสสูงมากที่อนาคตอันใกล้ คนรุ่นใหม่ในอเมริกาจะชอบฟุตบอลมากกว่าเบสบอล ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดว่า กีฬาที่เพิ่งเจาะอเมริกาและมีลีกอาชีพอย่างจริงจังได้ไม่กี่สิบปีแบบฟุตบอลกำลังจะเอาชนะกีฬาอาชีพเก่าแก่ของสหรัฐฯ ลงได้
นี่คือปัญหาที่เบสบอลต้องเผชิญ กับมรสุมหลายๆด้านที่พวกเขาแก้ไม่ตก และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทางออกว่า เบสบอล จะทวงความยิ่งใหญ่ของกีฬาบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกากลับมาได้อย่างไรบ้าง
UFABETWIN